วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เรื่องน่ารู้สำหรับคนชอบ แต่งรถ !!


ในปัจจุบันอุตสหกรรมยานยนต์ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตอบ สนองบรรดาผู้ใช้รถใช้ถนนได้ทุกเพศทุกวัยไม่เว้นเเม้เเต่วัยรุ่น หรือ วัยโจ๋อย่างพวกเรา เเละสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับรถยนต์เลยก็คือ อุปกรณ์ตกเเต่งรถยนต์ครับ  รถยนต์ที่ออกจากโรงงานไม่อาจจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเสมอไป จริงมั้ยครับ  จำเป็นต้องมีการปรับเเต่ง หรือตกเเต่งบางสิ่งบางอย่าง เช่น เปลี่ยนใส่ล้อเเม็กที่มีรวดลายสวยถูกใจ , ทำเครื่องเสียง , ใสสเกิ๊ตรอบคัน , ติดสปอย์เลอร์ที่ด้านหลัง หรืออาจจะทำเพื่อเพิ่มความสวยงามของรถยนต์ก็ดี  หรือ ปรับเเต่งเพื่อเพิ่มสมรรถนะของรถก็ดี เเต่จะมีสักกี่คนล่ะครับ ที่จะรู้ว่าอุปกรณ์ที่เราซื้อมาด้วยเงินจำนวนไม่น้อย เพื่อที่จะมาติดตั้งในรถยนต์ของเรานั้น จะทำให้สมรรถนะดีขึ้นมากเเค่ไหน ใส่เเล้วดีจริงหรือเปล่า รถเเรงขึ้นมั้ย เรื่องของการปรับเเต่งรถยนต์นั้น ถ้าจะศึกษาให้รู้จริงเเท้นั้นค่อนข้างจะละเอียดอ่อนมากครับ ช่างตามอู่บางคนยังไม่มีความรู้ที่ดีพอก็สามารถที่จะสร้างความเสียหายให้กับ รถยนต์ของเราได้ทั้งนั้น ในการปรับเเต่งรถยนต์นั้นต้องสามารถให้เหตุผลได้ว่า " อะไรที่ติดตั้งไปกับรถเราเเล้วทำให้รถมีสมรรถนะดีขึ้น เเละดีขึ้นเพราะอะไร
          วันนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านทุกคนไปรู้จักกับอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเรารู้จัก คุ้นเคยกันอย่างดีครับในบรรดาวัยโจ๋เเต่งรถทั้งหลาย นั่นก็คือ สเกิ๊ต เเละสปอย์เลอร์ ครับ มีใครไม่รู้จักมั้ยครับ อุปกรณ์ชนิดนี้เเละมีใครพอจะรู้บ้างมั้ยครับ ว่าเค้ามีไว้เพื่ออะไรครับ มันทำหน้าที่อะไร เเล้วทำไมเราต้องเอามันมาติดที่รถยนต์ของเราด้วย บางคนอาจจะคิดว่าติดไว้เท่ๆ เท่านั้นเอง ผมคิดว่าก็มีทั้งคนที่รู้เเละไม่รู้ใช่มั้ยครับงั้นวันนี้เราจะได้รู้กัน ครับ ขอให้ผู้อ่านทำความเข้าใจในเรื่องของ  อากาศพลศาสตร์ของยานยนต์ ครับ

          อากาศพลศาสตร์ของ ยานยนต์   (Vehicle Aerodynamics) เป็นเรื่องที่ว่าด้วย การเคลื่อนไหวของอากาศผ่านรถยนต์ของเราครับ มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เราต้องพิจารณาเรื่องของ การเคลื่อนที่ของอากาศผ่านรถยนต์

          ในเวลาที่เราขับรถยนต์นะครับ รถยนต์ของเราจะเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วที่เราควบคุมในขณะที่รถยนต์ของเรา เคลื่อนที่นั้น จะมีอากาศที่ไหลผ่านมาปะทะที่รถยนต์ของเราครับ  เนื่องจากอากาศที่ไหลผ่านหลังคารถยนต์มีความเร็วสูงกว่าอากาศที่ไหลผ่านใต้ ท้องรถยนต์ครับ   ดังนั้นอากาศเหนือหลังคารถจึงมีความดันต่ำกว่าอากาศใต้ท้องรถ ครับ  ความเเตกต่างของความดันนี้ทำให้เกิด เเรงยก  (Lift) เเละการหมุนวนของอากาศขึ้น (Vortex) ครับ การหมุนวนของอากาศที่เกิดขึ้นที่ส่วนท้ายของรถยนต์ จะเกิดเป็น 2 บริเวณ ทั้งด้านซ้ายเเละด้านขวาของรถยนต์ครับ เเละ  อากาศที่หมุนวนนี้เองที่ทำให้เกิดเเรงต้านการเคลื่อนที่ของรถยนต์ของเราครับ พูดง่ายๆก็คือ มันจะทำให้รถยนต์ของเราวิ่งได้ช้าลงไงครับ คือไม่สามารถทำความเร็วได้เต็มที่ ครับ

           พอจะเห็นภาพบ้างมั้ยครับ  คราวนี้เราลองมาทำความเข้าใจกับคำว่า  เเรงต้าน , เเรงยก  เเละ เเรงกด กันครับ  ในขณะที่รถยนต์ของเรากำลังวิ่งอยู่บนถนน หรือกำลังเเข่งกันอยู่ ก็ได้นะครับ รถยนต์ของเราจะถูกกระทำด้วยเเรงต้าน เเละ เเรงยก ของอากาศครับ ( เเรงต้าน หมายถึง เเรงที่พยายามต้านการเคลื่อนที่ของรถยนต์ ครับ เเละ เเรงยกหมายถึง เเรงที่พยายามที่จะยก หรือดันให้รถยนต์ของเราลอยตัวขึ้นครับ )  เเรงต้านมากนอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เเล้ว ยังทำให้สามารถกลายเป็นผู้เเพ้ในสนามเเข่งได้อีกด้วย ในส่วนของเเรงยกของอากาศนั้น ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าไหร่ครับ ก็จะมีผลทำให้ การยึดเกาะถนนของยางลดลง ทำให้รถยนต์ของเราทรงตัวไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะเลี้ยวโค้งด้วยอัตราเร็วสูง รถยนต์ของเราอาจจะลื่นไถลเเละเสียหลักได้ครับ
           ดังนั้นรถยนต์ที่ต้องการความเร็วสูง เช่นรถเเข่ง จำเป็นต้องเพิ่มเเรงกด ให้กับรถยนต์ เพื่อให้สามารถเลี้ยวโค้งที่อัตราเร็วสูงได้อย่างมั่นคงครับ
การเพิ่มเเรงกดก็สามารถทำได้ไม่ยากครับเเละวิธีนี้ก็สามารถเพิ่มเเรงกดได้ ถึง 3 เท่า ของน้ำหนักรถยนต์ที่อัตราเร็ว  270 km/h เเรงกดที่เกิดขึ้นก็มาจากการติดตั้ง สปอย์เลอร์ ที่ด้านหลังของรถยนต์นั่นเองครับ  เเต่อย่างไรก็ตามเเรงต้านก็จะเพิ่มขึ้นด้วยครับ เเละ การปรับเเต่งใต้ท้องรถยนต์ให้เกิดความดันต่ำขึ้นที่บริเวณพื้นที่สองด้านของ คนขับ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นครับ ขอบด้านข้างของตัวรถยนต์ก็ต้องติดตั้ง  Flexible Skirt  หรือที่เราเรียกโดยทั่วๆไปว่า =" สเกิ๊ต นั่นเองครับ ใส่ไปก็เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศจากด้านข้างไหลเข้าไปรบกวนการไหลของอากาศ ส่วนใต้ท้องรถครับ
เพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีการลดเเรงต้านของอากาศ ก่อนอื่นนะครับ จะต้องศึกษากลไกที่ทำให้เกิดเเรงต้าน ซึ่งนำไปสู่เเรงต้านรวมทั้งหมดครับ เเละเมื่ออากาศไหลผ่านผิวหน้าใดก็ตามด้วยอัตราเร็วคงที่ เเรงต้านอากาศที่เกิดขึ้นประกอบด้วยเเรง 2 ส่วนครับ คือ

                1 ) เเรงต้านทีผิวสัมผัส มีสาเหตุมาจากความเสียดทานที่ผิวสัมผัสระหว่างอากาศกับพื้นผิวที่อากาศ สัมผัส

                2 ) เเรงต้านความดัน มีสาเหตุมาจาก ความเเตกต่างของความดันที่กระจายบนพื้นผิวที่อากาศสัมผัส ครับ
ที่นี้เราลองมาดูปัจจัยที่มีส่วนทำให้เเรงต้านอากาศเพิ่มขึ้นนะครับว่ามี อะไรบ้าง
               1 ) ล้อ ห้องเกียร์ เเละระบบกันสะเทือนซึ่งอยู่ใต้ท้องรถยนต์

               2 ) การไหลของอากาศผ่านรถยนต์

               3 ) ผิวหน้าที่ไม่ราบเรียบของรถยนต์ เช่น ขอบคิ้วต่างๆ ของประตู เเละ กระจกข้าง กระจกหน้าต่างของรถยนต์ เเละ อุปกรณ์เสริมต่างๆที่ติดตั้งที่ตัวถังรถยนต์

               4 ) การเปิดกระจกหน้าต่างรถยนต์ในขณะขับขี่จะทำให้สูญเสียโมเมนตัมการไหลของ อากาศทำให้เกิดเเรงต้านเพิ่มขึ้นครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับความรู้เรื่อง ของการใส่ สเกิ๊ตเเละสปอย์เลอร์ การที่เราจะติดตั้ง สเกิ๊ตเเละสปอย์เลอร์ นั้น ถ้านอกเหนือจากการติดตั้งเพื่อความสวยงามของตัวรถเเล้ว ถ้าเราต้องการสมรรถนะเเละประสิทธิภาพของรถยนต์เเล้ว จำเป็นอย่างยิ่งครับ ที่จะต้องมีความรู้เรื่องดังกล่าวจึงจะสามารถปรับเเต่งรถยนต์ของเราได้อย่าง ถูกต้องเเละตามความเหมาะสมครับ

           รถยนต์ที่ได้รับการปรับเเต่งมาเเบบผิดๆ นอกจากเจ้าของรถจะถูกหลอกเเล้วก็ยังมีความเชื่อเเบบผิดๆ ตามไปด้วย เเละผลที่ตามมาก็คือ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับรถยนต์ของเราเเล้ว ยังเป็นการเพิ่มเเรงต้านของอากาศอีกด้วย ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช้เหตุ ครับ เพราะว่ารูปทรงของรถยนต์เเต่ละรุ่นเเต่ละยี่ห้อนั่นต่างกันครับ  เเรงต้านอากาศที่กระทำกับรถยนต์เเต่ละรุ่นเเต่ละยี่ห้อนั่นก็ต่างกันครับ เพราะฉะนั้นการติดตั้ง สปอย์เลอร์ ต้องดูให้เหมาะกับรูปทรงของรถยนต์เเต่ละรุ่นด้วยครับ เเละ สปอย์เลอร์จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเเรงกดของอากาศจากด้านท้าย รถยนต์ที่เพียงพอ เเละการที่จะได้มาด้วยเเรงกดอันมหาศาลนั้นก็ต้องมีปัจจัยอย่างนึงมาเกี่ยว ข้องครับนั่นก็คือ  ความเร็วของรถยนต์ ครับ  ถ้าเราขับรถยนต์ไม่ได้ความเร็วที่เหมาะสมเเล้ว สปอย์เลอร์ก็จะไม่ทำหน้าที่อะไรเลย นอกจากติดไว้เท่ๆเท่านั่น เพราะเเรงกดอากาศไม่เพียงพอ ความเร็วที่มากพอที่จะทำให้สปอย์เลอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นผมคง ไม่สามารถบอกได้ เพราะสปอยเลอร์เเต่ละเเบบไม่เหมือนกัน รูปทรงรถยนต์เเต่ละรุ่นก็ไม่เหมือนกัน เเต่คิดว่าคงต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 150 km/h สปอย์เลอร์ถึงจะเริ่มทำงานเเละสร้างเเรงกดให้กับรถยนต์ของเราได้ครับ
          สรุปได้ว่า การปรับเเต่งรถยนต์เราก็ต้องดูตามความเหมาะสม เเละตามการใช้งานของตัวเราด้วยครับ เพราะจะทำให้เราสบายใจ เเละสบายกระเป๋า ไม่ต้องโดนหลอกให้เสียกะตัง บ่อยๆ การเเต่งรถเราควรระลึกไว้เสมอว่า  อะไรที่ติดตั้งไปกับรถยนต์ของเราเเล้วทำให้รถมีสมรรถนะที่ดีขึ้น เเละดีขึ้นเพราะอะไร มีความพอเพียงเเละมีเหตุผลอยู่เสมอเท่านี้เราก็สามารถเเต่งรถได้อย่างสบายใจ เเล้วครับ

การปรับตั้งรถเพื่อการดริฟท์

การปรับตั้งรถเพื่อการดริฟท์ ขั้นต้น

1. ช็อคอัพฯ คู่หน้า แบบมีบอลจ๊อยท์ เพื่อปรับตั้งให้มุมล้อหน้าแบะออก หรือ แคมเบอร์เป็นลบ เพิ่มเพิ่มความยึดเกาะของล้อคู่หน้าให้มากกว่าคู่หลังโดยเฉพาะในโค้ง ซึ่งการปรับเช่นนี้จะช่วยให้การควบคุมรถผ่านโค้งไปง่ายขึ้น ส่วนล้อหลังพยายามให้มุมแคมเบอร์เป็นกลางให้มากที่สุด เพื่อที่จะทำให้ท้ายกวาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการแบะของล้อที่มีน้อยกว่าล้อหน้า

2. ช็อคอัพฯควรมีลักษณะ แข็งและหนึบ พวกแข็งแบบเด้งๆแบบช็อคอัพฯตัดแกนอัดน้ำมัน ตัดสปริง ใช้ไม่ได้ อันตราย

3. เฟืองท้าย แบบ ลิมิเต็ด สลิป ดิฟเฟอเรนเชียล หรือ L.S.D. ( Limited Slip Differential) ภาษาชาวบ้านเรียก เต็ด ขั้นต้นใช้เฟืองท้ายลิมิเต็ดฯ ที่ติดมากับโรงงานก็เพียงพอ เช่นของนิสสันสกายไลน์ หรือ ซิลเวีย สำหรับรถนิสสัน ส่วนโตโยต้า ก็จะมีของติดรถอยู่แต่จะหายากกว่าของนิสสัน สำหรับ เฟืองท้ายลิมิเต็ดของแต่งนั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีฝีมือขึ้นไปอีกระดับแล้ว
การดริฟท์โดยปราศจากเฟืองท้าย ลิมิเต็ดฯ นั้น จะทำให้การดริฟท์ยากขึ้น เนื่องจากเฟืองท้าย ลิมิเต็ดฯจะทำให้ล้อทั้ง 2 ข้าง ปั่นออกมาพร้อมๆกัน ช่วยให้รถนั้นนิ่งกว่าในขณะการดริฟท์ เมื่อเทียบกับเฟืองท้ายแบบธรรมดา เพราะเฟืองท้ายแบบธรรมดา ล้อจะหมุนแค่ข้างเดียวและลากล้ออีกข้างไปด้วย ซึ่งทำให้เสียกำลังไป


เทคนิคต่างๆที่ใช้ในการดริฟท์


Kansei Drift เทคนิคนี้จะใช้เมื่อการแข่งความเร็วกัน ขณะที่เข้าโค้งมาด้วยความเร็ว คนขับจะยกคันเร่งขึ้นในขณะที่ค่อยๆเลี้ยวเข้าโค้งเพื่อให้เกิดอาการท้ายกวดอย่างนุ่มนวล และจากนั้น ก็คุมการดริฟท์โดยใช้ พวงมาลัย เบรก และ คันเร่ง

Braking Drift ทำโดยการเบรคก่อนเริ่มเข้าโค้ง เบรคจนรถเริ่มสูญเสียการยึดเกาะและจากนั้นก็คุมรถผ่านพวงมาลัยและการคุมคันเร่ง

Faint Drift คือการดริฟท์โดยอาศัยแรงเหวี่ยงของตัวรถ

Clutch Kick เป็นการใช้ครัชเมื่อเข้าถึงไลน์ดริฟท์ หรือขณะ เริ่มดริฟท์ เป็นการเบิ้ลครัชเพื่อเรียกกำลังเมื่อแรงเริ่มตกหรือเข้าด้วยความเร็วต่ำ

Shift Lock เป็นการลดเกียร์ต่ำลงขณะเข้าไลน์ดริฟท์ เพื่อให้ล้อหลังเกิดแรงหนีแรงเสียดทานขึ้นมาทำให้ท้ายกวาด

Side Brake Drift เป็นเทคนิคขั้นต้นเลยของการดริฟท์ คือการใช้เบรคมือเพื่อให้ล้อหลังสูญเสียการยึดเกาะโดยทำควบคู่ไปกับการคุมคันเร่งและพวงมาลัย

Dirt Drop Drift คือการใช้ล้อหลังให้ออกไปนอกแทรค ที่จะลื่นกว่าถนนบนแทรค เพื่อล้อหลังเกิดการหมุนฟรีได้ง่ายขึ้น เหมาะกับรถที่แรงม้าน้อย

Choku Dori เป็นการใช้เบรคมือในทางตรงเป็นระยะทางยาว ก่อนเข้าดริฟท์เพื่อที่จะใช้มุมดริฟท์ที่กว้างขึ้น เป็นวิธีที่ใช้ในการดริฟท์ความเร็วสูง

Power Over เป็นการใช้คันเร่งส่งเมื่อเข้าโค้งให้ท้ายกวาดออก และใช้คันเร่งส่งตลอดโค้งเพื่อให้ล้อหลังสไลด์ออกตลอดโค้ง วิธีนี้รถต้องมีแรงม้ามาก

เทคนิคการดริฟท์

เทคนิคการดริฟท์

มันมีหลายวิธีเพื่อที่จะดริฟท์ ซึ่งได้แก่ (หมายเหตุ : ควรปิดระบบ ABS และ TCS ก่อน เพราะระบบเหล่านี้ถูกสร้างมาเพื่อกันไม่ให้รถเกิดการสไลด์)

-Braking Drift- การดริฟท์ชนิดนี้ทำได้โดยการ เหยียบเบรกอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่โค้ง เพื่อที่ว่าจะได้ทำให้รถนั้นสามารถถ่ายน้ำหนักและทำให้ล้อหลังสูญเสียแรงยึดเกาะ จากนั้นก็ควบคุมการดริฟท์ด้วยพวงมาลัยและคันเร่ง การปรับอัตราการจับของเบรกก็ช่วยในการดริฟท์ได้ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การขับของแต่ล่ะคน โดยปกติแล้ว หากอัตราการจับของเบรกค่อนไปทางล้อหลังจะช่วยให้เกิดการดริฟท์ได้ดีกว่า

-Power Over Drift- การดริฟท์ชนิดนี้ทำได้โดยการ เข้าโค้งทั้ง ๆ ที่เหยียบคันเร่งเต็มที่ก่อให้เกิดการโอเวอร์สเตียร์เมื่อถึงโค้ง มันเป็นวิธีดริฟท์โดยทั่วไปสำหรับพวกรถขับเคลื่อน 4 ล้อ (ได้ผลดีกว่ารถขับเคลื่อนล้อหลัง) Keiichi Tsuchiya เคยบอกว่าเค้าก็เคยใช้เทคนิคนี้เมื่อตอนที่เค้ายังหนุ่ม และกลัวที่จะดริฟท์เมื่อถึงโค้ง แต่อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้จะก่อให้เกิดอาการล้อฟรีทิ้งมากกว่าการดริฟท์หากเข้าด้วยมุมที่ผิด

-Inertia (Feint) Drift- เทคนิคนี้สามารถทำได้โดยการโยกรถไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโค้งและหลังจากนั้นก็อาศัยแรงเฉื่อยของรถ เพื่อเหวี่ยงรถกลับมาในทิศทางของโค้ง จากการที่เราหักหัวออกนอกโค้ง และหักกลับมาอย่างเร็ว คุณก็จะได้มุมที่ดีกว่า ในบางครั้ง การเบรกระหว่างที่เหวี่ยงรถไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโค้งนั้นก็ช่วยในเรื่องของการถ่ายเทน้ำหนักเช่นกัน และจะทำให้เข้าโค้งได้ดีกว่าเดิมอีก นักดริฟท์มืออาชีพหลายคนกล่าวไว้ว่า นี่เป็นหนึ่งในเทคนิคทำได้ยากที่สุด เนื่องจากมีโอกาสหมุนสูง

-Handbrake/ebrake Drift- เทคนิคนี้ค่อนข้างจะง่าย ดึงเบรกมือเพื่อให้ด้านหลังสูญเสียแรงยึดเกาะและควบคุมการดริฟท์ด้วยพวงมาลัยและการเดินคันเร่ง มีบางคนถกเถียงกันในเรื่องนี้ว่าการใช้เบรกมือนั้น ก่อให้เกิดการดริฟท์ หรือเป็นเพียงแค่พาวเวอร์สไลด์ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว การใช้เบรกมือก็ไม่ต่างจากเทคนิคอื่น ๆ เพื่อดริฟท์ โดยทั่วไปแล้วนี่เป็นเทคนิคหลักสำหรับการดริฟท์รถขับเคลื่อนล้อหน้า นี่เป็นเทคนิคแรกที่มือใหม่จะใช้หากรถของเค้าไม่มีแรงกำลังมากพอที่จะทำให้รถสูญเสียแรงยึดเกาะด้วยเทคนิคอื่น ๆ และเทคนิคนี้ก็ใช้กันอย่างมากในการแข่งดริฟท์เพื่อดริฟท์ในโค้งกว้าง

-Dirt Drop Drift- เทคนิคนี้ทำได้โดยการให้ล้อหลังของรถตกลงไปข้างทางที่เป็นดินเพื่อรักษาหรือเพื่อให้ได้มุมการดริฟท์โดยไม่สูญเสียกำลังหรือความเร็ว และเพื่อที่จะเตรียมสำหรับโค้งต่อไป เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะกับถนนที่ไม่มีแผงกั้นและมีดินหรือฝุ่นหรืออะไรอย่างอื่นที่ทำให้สามารถสูญเสียแรงยึดเกาะได้ นี่เป็นเทคนิคที่ใช้กันโดยทั่วไปในการแข่งแรลลี่ WRC

-Clutch Kick- เทคนิคนี้ทำได้โดยการเบิ้ลคลัทช์ (การเหยียบและปล่อย ปกตจะกระทำมากกว่า 1 ครั้งในการดริฟท์เพื่อการแต่งโค้งด้วยความรวดเร็ว) เพื่อให้แรงขับเคลื่อนเกิดการสะดุด ทำให้รถเสียสมดุล มันทำให้ล้อหลังเกิดอาการลื่นไถลและทำให้คนขับสามารถก่ออาการโอเวอร์สเตียร์ได้

-Choku Dori- นี่เป็นเทคนิคขั้นสูงซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้หนี่งในเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อเริ่มการดริฟท์ จากนั้นก็ใช้เบรกมือเพื่อการยืดการดริฟท์ในโค้ง

-Changing Side Swing- เทคนิคนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในการแข่ง D1 ในญี่ปุ่น และมีความคล้ายคลึงกับ Inertia (Feint) Drift เป็นอย่างมาก ส่วนมากมันจะถูกใช้ในตอนที่จะดริฟท์โค้งแรก ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นโค้ง Double Apex และอยู่ต่อจากทางตรงยาว หากทางตรงยาวที่อยู่ก่อนโค้ง Double Apex นั้นมีลักษณะเป็นทางลง นักขับจะขับชิดขอบสนามด้านในโค้ง จากนั้น ด้วยการกะจังหวะที่ถูกต้อง นักขับจะเหวี่ยงหักรถไปอีกด้านนึงทันที การทำแบบนี้ ทำให้โมเมนตัมของรถเปลี่ยนไป ทำให้ล้อหลังสูญเสียแรงยึดเกาะ ตอนนี้รถอยู่ในช่วงดริฟท์แล้ว หลังจากนั้นก็ดริฟท์อย่างต่อเนื่องไปจนผ่านโค้ง

-Manji Drift- เทคนิคนี้ใช้ตอนดริฟท์บนทางตรง ผู้ขับจะเหวี่ยงรถสลับข้างไปมาระหว่างดริฟท์ ซึ่งดูน่าทึ่งมาก มันสามารถใช้เป็นเทคนิคนำก่อนจะใช้เทคนิคต่อ ๆ ไปในข้างต้นก็ได้

-Dynamic Drift- เทคนิคนี้จะคล้าย ๆ กับ Choku Dori มันใช้รูปแบบของเทคนิคด้านบนทั้งหมด และไม่จำกัดเพียงแค่ 1 เทคนิค นำมารวมกันเพื่อให้ได้การดริฟท์ที่วางเอาไว้

ข้อเท็จจริงน่ารู้

-สำหรับนักขับชาวญี่ปุ่นที่ต้องการเข้าถึง D1 พวกเขาจะต้องผ่านหนึ่งในรายการของ Option ให้ได้ซะก่อน “Ikaten” นี่คือที่ที่เหล่ามือสมัครเล่นจะมาพิสูจน์ฝีมือตัวเองเพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของ D1 หากพวกเขาได้รับการคัดเลือก พวกเขาจะได้รับ “D1 License” ซึ่งทำให้พวกเขามีโอกาสเข้าสู่รอบคัดเลือกของ D1 ประเทศอื่นที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นค่อนข้างจะได้รับสิทธิพิเศษหน่อยตรงที่แค่ไปงาน “Driver’s Search” เพื่อที่จะได้ D1 License

-Kumakubo เป็นเจ้าของสนาม Ebisu ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม D1 มีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น และก็เป็นอีกเหตุผลที่ว่าทำไม Kumakubo ถึงขับได้ดีในรอบ Tsuiso

-คุณอาจเคยสังเกตเห็นคำว่า “Big X” บนฝากระโปรงรถของ Kumakubo Big X คืองานโชว์กลางแจ้งที่รวมเอาการโชว์ดริฟท์ โมโตครอส และกีฬา Xtreme อื่น ๆ รวมไว้ด้วยกัน โดยนำเอาระดับท๊อป ๆ ของแต่ละแขนงมารวมตัวกัน

-กลุ่มดริฟท์ของ Big X มีชื่อเรียกว่า Drift Xtreme ซึ่งนักแข่งชั้นนำของ D1 จะถูกเชิญให้เข้าร่วมเมื่อเค้าเริ่มเป็นที่รู้จัก คุณจะเห็นสติ๊กเกอร์ Drift Xtreme บนรถ D1 หลายคัน ยกตัวอย่างเช่น Nobushige Kumakubo, Nomura Ken, Kazama Yasuyuki, Miki Ryuji, Kazuhiro Tanaka, และ Yuki “Dirt” Izumida

-Taniguchi Nobuteru ขับรถมาสี่คันแล้วกับ HKS ในการแข่ง D1 ก็มี RS1 Hyper Silvia S15 (ซึ่ง Keiichi Tsuchiya เอาไปมิดมา อาจมีคนเคยเห็นคลิปนี้แล้ว) และ RS2 Hyper Silvia S15 อีกสองคัน (คันนึงจาก HKS Power Japan อีกคันจาก HKS Europe) และคันสุดท้าย Genki RP Atltezza ซึ่งถูกออกแบบให้ไม่มีของแต่งต้นแบบหรือของแต่งตัวทดลองของ HKS เลย เพื่อจุดประสงค์ที่ว่า นักดริฟท์ทั่วไป สามารถแต่งตามแบบรถคันนี้ได้ (แต่ในขณะที่แปลบทความนี้ รู้สึกเค้าจะมีรถใหม่อีกคันแล้ว เป็น Toyota Aristo สีแดง)

-นักแข่ง D1 หลายคนดังมากทั้งในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และมักจะมีอีกอาชีพทำอยู่ในการแข่ง Super GT หรือ Super Taikyu เช่น Manabu Orido และ Taniguchi Nobuteru เป็นต้น และ Keiichi Tsuchiya เอง ก็ทำงานเป็นผู้จัดการให้กับทีมในการแข่ง Super GT ด้วย

-สำหรับการแข่ง Super GT Manabu Orido ขับ Advan Eclipse Supra ในคลาส GT500 Nobuteru Taniguchi ขับ WEDSSPORT Celica ในคลาส GT300 ทั้งคู่อยู่ในทีมเดียวกันในการแข่ง Super Taikyu และขับ Porsche GT3 สำหรับ Keiichi Tsuchiya นั้นเคยขับ Arta NSX ในคลาส GT500 แต่ปัจจุบันเป็นผู้จัดการให้กับ Super Autobacs Garaiya ในคลาส GT300

-นักขับของทีม RE Amemiya, Masao Suenaga ได้ถูกเลือกโดยตัวของ Isami Amemiya เองเลยเพื่อให้มาขับ FD สีฟ้าคันนั้น เค้ามี Kumakubo เป็นอาจารย์ เช่นเดียวกับพี่/น้อง ของเค้า Naoto Suenaga ซึ่งก็มี D1 License เหมือนกัน

-หลายคนเคยถามว่าทำไมลายไวนิลหรือสติกเกอร์บนด้านข้างของรถนั้น ติดแบบกลับด้านจากซ้ายไปขวา นี่ไม่เกี่ยวกับความมักง่ายของผู้ผลิตหรือกฎใด ๆ มันเป็นเรื่องของสไตล์มากกว่า

-ถนนบนภูเขาบางเส้นเช่นบนภูเขา Haruna (ภูเขา Akina นั่นแหละ) มีเส้นดักความเร็วขนาดใหญ่บนถนน เนินเหล่านี้มีขึ้นเพื่อกันการแข่งกันบนภูเขา โดยปกติมันจะอยู่ตรงช่วงก่อนเข้าและออกจากโค้ง เช่น ตรงโค้งแฮร์พินติดกัน 5 โค้งรวดบน Haruna ในระยะหลังนี้ การป้องกันต่าง ๆ มีขึ้นเพื่อป้องกันการแข่งกันบนภูเขา นี่รวมถึงการขยายรั้วกั้นด้วยเพื่อป้องกันไอ้พวกบ้าการ์ตูนบางคนกระโดดตัดโค้งบนเนินอิโรฮะตามแบบในการ์ตูนเรื่อง Initial D ตอนทาคุมิแข่งกับ MR2

-ในประเทศออสเตรเลียเองนั้นการดริฟท์มีต้นกำเนิดมาจากทางแถบภูเขาทางใต้ของออสเตรเลีย โดยการรับวัฒนธรรมมาจากญี่ปุ่นเมื่อยุคทศวรรษที่ 90 Adelaide ยังคงเป็นที่รู้จักกันในนาม “the Home of Aussie drift”

ประวัติ

ประวัติ

การดริฟท์มีต้นกำเนิดมาจากพวกนักแข่งตามถนนบนภูเขาแถบชนบทของประเทศญี่ปุ่น เป็นการแข่งบนถนนบนภูเขา (เรียกว่า โทเกะ) จนในที่สุดก็พัฒนามาเป็นรายการแข่งที่ต้องใช้ทุน และการโฆษณาต่าง ๆ ซึ่งได้รับการสนับสนุนและอนุมัติโดยองกรณ์ และจัดแข่งตามสนามแข่งเอกชนต่าง ๆ การดริฟท์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1996 ซึ่งเป็นรายการแข่งที่จัด ณ สนามแข่ง Willow Springs, California จัดขึ้นโดย นิตรยสาร Option แต่มันก็ไม่ได้รับความนิยมจนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 2002 นักดริฟท์ชาวญี่ปุ่นก็ยังคงถือว่าเป็นผู้นำในด้านเทคนิค และการปรับปรุงรถ แต่พวกอเมริกันเองก็พัฒนาตัวเองและตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ตามข่าวลือนั้น Keiichi Tsuchiya เมื่อตอนแข่งรถอยู่ และอยู่ในอันดับรั้งท้าย เขาตัดสินใจที่จะเหวี่ยงรถผ่านโค้ง ทำให้เหล่าฝูงชนรู้สึกตกตะลึงและรู้สึกประหลาดใจไปตาม ๆ กัน ภายหลัง Tsuchiya เรียกมันว่า “การดริฟท์” ในขณะที่นี่อาจไม่ใช่ต้นกำเนิดของมัน แต่มันก็เป็นที่มาของชื่อและการแสดงให้คนอื่นเห็นเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1977 Keiichi เริ่มต้นอาชีพการแข่งของเค้าด้วยการขับรถหลายคัน ในการแข่งระดับมือสมัครเล่นรายการต่าง ๆ การแข่งในรถที่ไม่ค่อยมีกำลังแบบนี้ค่อนข้างยาก แต่ก็ทำให้ได้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี ต่อมา Keiichi ก็มีโอกาสได้ขับรถ Toyota AE86 Sprinter Trueno ซึ่งมีสปอนเซอร์หลักคือ ADVAN ในหลาย ๆ การแข่ง ในขณะที่เข้าโค้งขาลง เขาจะดริฟท์รถของเค้า และทำให้ได้ความเร็วขณะเข้าโค้งมากกว่าคู่แข่งคนอื่น ๆ ของเค้า เทคนิคนี้ ทำให้เค้าได้รับการขนานนามว่าเป็น Drift King ไม่ใช่เพราะอย่างที่หลายคนเข้าใจว่าเค้าเป็นคนแรกที่ดริฟท์

หลาย ๆ เทคนิคซึ่งใช้กันในปัจจุบันในการดริฟท์นั้นถูกพัฒนาขึ้นโดยเหล่านักแข่งแรลลี่บนทางวิบาก ทางฝุ่น หรือแม้แต่บนหิมะ บนพื้นผิวถนนเช่นนั้น วิธีที่จะเข้าโค้งได้เร็วที่สุดก็คือการสไลด์

ณ ปัจจุบัน

ในปัจจุบันนี้ การดริฟท์ได้มีวิวัฒนาการจนกลายเป็นกีฬา ซึ่งนักขับต้องแข่งกันในรถที่มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง เพื่อสไลด์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในการแข่งระดับสูง โดยเฉพาะการแข่ง D1 Grand Prix ในประเทศญี่ปุ่น ในสหราชอาณาจักร และในสหรัฐอเมริกา นักขับสามารถที่จะทำให้รถของเค้าสไลด์อยู่ได้นาน และสไลด์ผ่านโค้งหลาย ๆ โค้งติด ๆ กันได้ การแข่งดริฟท์นั้นไม่ได้ตัดสินจากการที่ดูว่าใช้เวลาเท่าไหร่ในการวิ่งวนครบรอบสนาม แต่ดูจากการเข้าไลน์ มุม ความเร็ว และปัจจัยในการแสดง ไลน์ เกี่ยวกับการเข้าให้ถูกไลน์ ซึ่งโดยปกติจะถูกกำหนดและบอกไว้ก่อนโดยกรรมการ มุม คือมุมของรถในตอนดริฟท์ ยิ่งมากยิ่งดี ความเร็ว คือความเร็วตอนเข้าโค้ง ตอนผ่านโค้ง และตอนออกจากโค้งไปแล้ว ยิ่งเร็วยิ่งดี ปัจจัยการแสดงนั้นขึ้นอยู่กับหลาย ๆ อย่าง เช่น จำนวนของควันยาง รถเฉียดกำแพงมากขนาดไหน มันขึ้นอยู่กับว่าทุกอย่างดู “เจ๋ง” ขนาดไหน ในรอบสุดท้ายของการแข่งมักจะเป็นการแข่งของรถดริฟท์สองคันซึ่งเรียกเล่น ๆ กันว่า “tsuiso” (การวิ่งไล่กัน) ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งคือการที่รถคันนึงไล่รถอีกคันนึงในสนาม เพื่อพยายามที่จะไล่ให้ทัน หรือแม้แต่แซงรถคันข้างหน้า ในรอบ tsuiso นี้ มันไม่เกี่ยวกับไลน์ในการดริฟท์ แต่ขึ้นอยู่กับว่านักดริฟท์คนไหนดริฟท์ได้น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่ากัน โดยปกติแล้ว รถคันที่นำ จะทำมุมการดริฟท์แบบสุด ๆ แต่ก็ยังหัวชิดโค้งอยู่เพื่อบังกันไม่ให้โดนแซง รถคันที่ตามโดยปกติจะดริฟท์ด้วยมุมที่น้อย ๆ แต่จะใกล้กับคันหน้ามาก ๆ รถไม่จำเป็นต้องตามให้ทัน และในความเป็นจริงแล้วในบางกรณี รถที่ถูกทิ้งในทางตรงหากดริฟท์สวยก็จะชนะในรอบนั้นไปเลย การหมุน การอันเดอร์สเตียร์ หรือการชนกันนั้นจะส่งผลให้ตกรอบนั้นไปเลย

รถ 

รถขับเคลื่อนล้อหลังคันไหนก็ดริฟท์ได้ (แต่จะดีกว่าหากมี limited-slip differential) และรถขับเคลื่อสี่ล้อบางคันก็ดริฟท์ได้ โดยส่วนมากแล้ว จะดริฟท์ด้วยมุมที่น้อยกว่า แต่จะเข้าเร็วกว่า รถที่ใช้แข่งที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาได้แก่ Nissan 240SX (เป็นเวอร์ชั่นที่ใช้เรียกในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นก็คือ Nissan Silvia นั่นเอง), Nissan 350Z, Toyota Corolla GT-S, Mazda RX-7 และ Honda S2000 เมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกที่ชอบรถผลิตภายในประเทศ (สหรัฐอเมริกา) ก็มาลงแข่งด้วยรถอย่าง Ford Mustang, Pontiac GTO และ Dodge Viper ในประเทศญี่ปุ่นนั้น รถดริฟท์ระดับท๊อปได้แก่พวก S13, S14 และ S15, Toyota AE86 Sprinter Trueno และ Corolla Levin, Nissan Skyline (ตัวขับเคลื่อนล้อหลังอย่าง ER34 ซึ่งเป็นรถ 4 ประตูและในรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง HCR32), Mazda RX-7 ทั้งตัว FC และ FD, Toyota Altezza, Toyota Aristo, Nissan Z33 Fairlady Z, Nissan Cefiro, Nissan Laurel, Toyota Soarer และเหล่ารถที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด

และก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ในเรื่องที่ว่ารถขับเคลื่อนล้อหน้าดริฟท์ได้หรือไม่ โดยนิยามทางเทคนิคแล้ว (ล้อหลังลื่นไถลในมุมที่มากกว่าล้อหน้า) มันดริฟท์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนเห็นว่า รถขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นตัวเลือกที่ไม่ดีสำหรับการดริฟท์ เพราะการที่ต้องใช้เบรกมือบ่อย (ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการจะดริฟท์รถขับเคลื่อนล้อหน้า) ซึ่งทำให้มันวิ่งช้าลงและยากต่อการควบคุม รวมถึงเพราะการที่มันล้อหน้าเพื่อทั้งการเลี้ยวและขับเคลื่อน การที่รถหลุดจากการควบคุมหลังจากการสไลด์เพียงครั้งเดียว ในขณะที่รถขับเคลื่อนล้อหลังสามารถที่จะดริฟท์ผ่านโค้งที่ต่อเนื่องได้ หากมองกันในมุมนี้ และนี่คือนิยามของการดริฟท์แล้วล่ะก็ รถขับเคลื่อนล้อหน้าไม่สามารถที่จะดริฟท์ได้ ได้แค่การทำพาวเวอร์สไลด์ แต่อย่างไรก็ตาม นักดริฟท์บางคน เช่น Kyle Arai หรือ Keisuke Hatakeyama ใช้รถ Civic EF ในการดริฟท์ และก็ประสบความสำเร็จในการทำเช่นนั้นด้วย บางครั้งก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังด้วย

รถขับเคลื่อน 4 ล้อ เช่น Subaru Impreza WRX STi และ Mitsubishi Lancer Evolution นั้น ดริฟท์ด้วยมุมที่ต่างออกไป และโดยปกติจะทำโดยการ power-over เพราะการที่ล้อหน้าของมันเป็นล้อขับเคลื่อนด้วยในรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงเป็นที่สังเกตได้ง่ายว่า มันจะใช้การ counter steer น้อย การแข่ง D1 และ การแข่งระดับมืออาชีพรายการอื่น ๆ ไม่อนุญาตให้รถขับเคลื่อน 4 ล้อลงแข่ง แต่อย่างไรก็ตาม รถอย่าง Impreza และ Lancer ก็ถูกแปลงให้เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังและก็สามารถลงแข่งในรายการที่ห้ามรถขับเคลื่อน 4 ล้อลงแข่งได้

การกีฬา

ของแต่งหลายชิ้นจากหลายสำนักแต่งที่มีขายนั้น ก็มีประเภทที่ว่าได้รับการออกแบบมาสำหรับการโมดิฟายรถดริฟท์โดยเฉพาะเช่นกัน นักแข่งเกือบจะทั้งหมด อาศัยของแต่งเหล่านี้เพื่อปรับปรุงระบบช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อน แชสซี และตัวถังรถของพวกเค้า

รายการแข่งดริฟท์ที่สำคัญมากที่สุดในโลกได้แก่รายการ Autobacs D1 Grand Prix ซึ่งมีต้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่น ณ สนามแข่ง Ebisu เมื่อขยายครอบคลุมทั่วประเทศญี่ปุ่นแล้ว D1 Grand Prix ณ ตอนนี้ก็มีการจัดแข่งแมทช์แข่งระหว่าง ญี่ปุ่น ปะทะ สหรัฐอเมริกาขึ้นด้วยที่สนาม Irwindale Speedway ใน California และอีกรายการที่สนาม Silverstone Circuit และวางแผนที่จะบุกตลาดในส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชียด้วย นิตรยสาร Option ร่วมกับแผนกวิดีโอ V-Option ได้ตัดสินใจสร้างการแข่ง D1 Grand Prix ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความคลั่งไคล้ในการดริฟท์ที่กำลังขยายตัว นำโดยประธาน CEO Daijiro Inada พวกเขาพยายามกันสุดความสามารถเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด ในปี ค.ศ. 2006 ทาง D1 จะนำการแข่งเข้าสู่สหราชอาณาจักร ด้วยการให้โอกาสนำนักแข่ง 5 อันดับแรก มาแข่งทั้งในสหราชอาณาจักรและในญี่ปุ่น

การdrift(ดริฟท์)


บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
การdrift(ดริฟท์) หมายถึง ความต่างของมุมการไถลระหว่างยางหน้าและหลังของรถ เมื่อล้อหลังลื่นไถลด้วยมุมที่มากกว่าล้อหน้า นั่นคือรถกำลังดริฟท์อยู่ หรือคือการโอเวอร์สเตียร์ ด้านท้ายของรถจะกวาดออกตลอดโค้ง คนขับจะใช้ประโยชน์จากยางหน้าและหลัง เพื่อควบคุมรถให้ไปในทิศทางที่ต้องการ ยิ่งเดินคันเร่งก็จะยิ่งเพิ่มมุมการไถลของล้อหลังทำให้ท้ายยิ่งกวาดจนแทบจะหมุนเลยทีเดียว ประเด็นก็คือเพื่อให้คนขับสามารถใช้พวงมาลัยและคันเร่งในการทำให้มุมของรถและทิศทางที่รถกำลังมุ่งไปสมดุลกัน

การดริฟท์

การดริฟท์คือสไตล์การขับที่ต้องทำโอเวอร์สเตียร์เข้าหาโค้ง และผ่านโค้งนั้นไป โดยปกตินั้นจะสามารถทำได้ด้วยรถที่เป็นระบบขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง เพราะลักษณะการถ่ายกำลังและการถ่ายเทน้ำหนักของมัน เหมาะสมสุด ๆ สำหรับการนี้โดยเฉพาะ การดริฟท์อาจจะใช้เพื่อความสนุก ซึ่งมีจุดประสงค์ที่ว่าผสมผสานระหว่างความสนุกกับการเสริมทักษะในการควบคุมรถ หรือใช้ในการแข่งก็ได้ การแข่งดริฟท์ เป็นการแข่งที่ดูจากสไตล์มากกว่าความเร็วที่วิ่งได้ต่อรอบ หรือ ตำแหน่งตอนเข้าเส้นชัย เกณฑ์การตัดสินหลัก ๆ จะขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยได้แก่ 1. มุมการเข้าโค้ง 2. ไลน์ 3. ความเร็ว 4. ลูกเล่นหรือสไตล์

การดริฟท์ไม่ใช่วิธีที่ทำให้ไปได้เร็วที่สุดในสนามแข่ง แต่การดริฟท์จะมีประโยชน์มากอย่างเช่นในการแข่งแรลลี่ แต่ในการแข่งเซอร์กิตนั้น การดริฟท์จะทำให้รถไปได้ช้ากว่าการใช้เทคนิคธรรมดา
ประวัติย่อๆ และเทคนิคการดริฟท์(Drift) สำหรับผู้สนใจการขับรถแนวนี้